Colorful Series Show Plate

Additional Information
  • 0 Units in Stock
Price :
TAX (Vat 7%) = ฿0.00
Total = ฿0.00
 Sold Out 

Description

Salt and pepper benjarong

Salt and pepper benjarong

Salt and pepper benjarong

เรื่องราวของจานใบนี้

จานเบญจรงค์นี้คือผลงานแห่งความประณีต งามสง่าราวกับจะพาทุกสายตาให้หลงใหลไปกับเรื่องราวบนผืนดินอันอ่อนช้อย ขอบจานเว้าโค้งอันละเอียดอ่อน ราวกับกลีบดอกไม้ที่ค่อยๆ ผลิบาน โอบล้อมผืนขาวอันบริสุทธิ์ใจกลางจาน ขอบทองคำอร่ามที่ถูกวาดขึ้นอย่างพิถีพิถัน เปรียบเสมือนรัศมีแห่งความสูงศักดิ์ที่ส่องประกาย พื้นผิวของขอบจานแต่ละส่วนคือภาพวาดที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งศิลปะไทย ที่นี่ปรากฏลวดลายอันหลากหลาย บรรจงเรียงร้อยต่อกันอย่างกลมกลืน ประหนึ่งแพรไหมหลากสีสันที่ถักทอขึ้นอย่างตั้งใจ

จานเบญจรงค์ใบนี้ถูกวาดขึ้นโดยช่างที่จังหวัดเพชรบูรณ์
เนื้อกระเบื้องจาน โบนไชน่า มีความโปร่งแสงสูง สีครีมงาช้าง


ลวดลายสีน้ำตาลแดงทางด้านซ้ายมือด้านบน คือ ลายพุ่มข้าวบิณฑ์
เป็นสถาปัตยกรรมเอกลักษณ์ และเป็นลักษณะเฉพาะของศิลปะสุโขทัยโดยสันนิษฐานว่าในช่วงเริ่มแรกได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะของทางเขมร และพัฒนามาเป็นแนวทางของตนในระยะเวลาถัดมา โดยเฉพาะลักษณะจำเพาะเด่นๆ ทั้งสามแบบของทรงยอดเจดีย์ คือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ทรงกลมแบบลังกา และทรงทรงปราสาทยอด

พุ่มข้าวบิณฑ์จึงเป็นทั้งประวัติศาสตร์และความรู้ความสามารถรังสรรค์ของลายไทยอันวิจิตร รวมถึงเป็นการแสดงความสัมพันธ์อันดีกับพุทธศาสนาดั่งเช่นรูปทรงดอกบัวที่กล่าวไปข้างต้น ในพุทธศาสนาที่มักจะถูกนำมาใช้งานพุทธศิลป์ซึ่งเป็นตัวแทนการตื่นรู้ของพระพุทธองค์

ถัดลงมาจากลายพุ่มข้าวบิฑณ์เป็นลายเขี้ยวยักษ์
เป็นลายตั้งตาที่ถูกพัฒนามาจากลาย หน้ายักษ์ โดยหยิบมาเฉพาะส่วนของเขี้ยยยักษ์และถูกพัฒนาผสมผสานกับลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ผ่านภูมิปัญญาของช่างผูกลายไทย โดยลดทอนลายละเอียดบางส่วนเพื่อให้เหมาะสมและผูกลายได้อย่างงดงาม

ถัดมาเป็นลายดอกดาวกระจาย
ถัดมาปรากฏลายดอกไม้เล็ก ๆ สีสันสดใส ท่ามกลางพื้นสีขาวสะอาดตา มีทั้งสีแดง เหลือง ฟ้า ชมพู ที่ดูราวกับหมู่ผีเสื้อกำลังโบยบินในสวนดอกไม้ เป็นภาพที่เติมเต็มด้วยความสดชื่นและอ่อนหวาน "ดาวกระจาย" คือหนึ่งในแม่ลายที่ใช้ในการสร้างสรรค์ศิลปะไทย โดยเฉพาะในงานประดับตกแต่ง ซึ่งเป็นลวดลายรูปดาวที่มีแฉกแผ่ออกไปคล้ายกับดอกดาวกระจาย (Cosmos) ซึ่งมีที่มาจากดอกไม้ธรรมชาติและได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนา เป็นส่วนหนึ่งของลวดลายไทยที่หลากหลาย เช่น ลายกนก, ลายประจำยาม, และลายพุ่ม ใช้ประดับสถาปัตยกรรมจิตรกรรม และประติมากรรมไทย

ถัดมาเป็นลายดอกพุดตาน
ลายดอกพุดตานในศิลปะไทยมีต้นกำเนิดจากดอกโบตั๋นของจีนที่เปลี่ยนสีได้ 3 สีในวันเดียว (ขาว-ชมพูอ่อน-ชมพูเข้ม) ชาวจีนถือเป็นไม้มงคล (ฝูหรงฮวา) สื่อถึงความมั่นคง, วาสนา, ยศฐาบรรดาศักดิ์ ซึ่งเข้ามามีอิทธิพลในไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (ร.2-3) ผ่านการค้าขายกับจีน เห็นได้ในงานศิลปะไทย เช่น หน้าบันวัด, เครื่องลายคราม (ถ้วยโชว์จากจีน), และการประดับยศขุนนางบนอินทรธนู เป็นลายที่พบได้บ่อยในลายไทย มีความอ่อนช้อยงดงาม ลายดอกพุดตาลถูกวาดไว้บนพื้นสีน้ำเงินทำ

ถัดมาเป็นลายเถาใบเทศ
นำมาวาดให้อยู่ในกรอบได้อย่างลงตัวและงดงาม แสดงถึงประสบการณ์ของช่างผูกลาย ที่มีประสบการณ์ ในการใช้จังหวะการวางลายไทย ให้ดูลงตัว พบนพื้นสีดำสนิท ลายเถาใบเทศ เป็นลวดลายไทยโบราณที่พัฒนามาจากลายพื้นฐาน "ลายกระหนก" (ลายไฟ) โดยมีวิวัฒนาการร่วมกับพุทธศาสนาและศิลปะอินเดียโบราณ มีลักษณะเป็น ใบไม้เรียวอ่อน โค้งอ่อนช้อย มักใช้คู่กับลายก้านขดและลายอื่น ๆ ประดับตามขอบอาคารโบราณ เช่น บานประตู หน้าต่าง เป็นลายที่แสดงถึง ความอ่อนช้อย งดงาม และเป็นสัญลักษณ์แทนพืชพรรณ

ถัดมาเป็นลายหยดเทียนในโทนสีชมพูอ่อนหวาน
เป็นลวดลายที่ถูกพัฒนามาใหม่ที่สุด และร่วมสมัยโดยเกิดขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 9โดดเด่นด้วยการลงสีนูน ผสานกับทองนูน ทำให้ได้ลวดลายและผิวสัมผัสที่แปลกใหม่สันนิษฐานว่าถูกพัฒนามาจากลวดลายแบบแผนของลายข้าวหลามตัด และลายพุ่มข้าวบิณฑ์เดิม หรือพุ่มข้าวบิณฑ์กนกใบเทศ ที่มีหางยอดลักษณะคล้ายเปลวเทียนผสานเข้ากับแบบแผนของลายข้าวหลามตัดมีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดเรียงกันเป็นทอดๆ คล้ายทรงเพชรที่มีหลายเหลี่ยมและมีพลอยเรียงแวววาว มีส่วนยอดหางเปลวไฟอยู่ตรงกลาง ถือเป็นการออกแบบที่ร่วมสมัยและต่อยอดมาจากหลายขนบดั้งเดิม

อีกทั้งในการไหว้บูชาของพุทธศาสนานั้น เทียนก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำหรับศาสนพิธี การบูชาพระธรรมมักจะใช้เทียนสองเล่ม ทั้งนี้เป็นคติธรรมเทียนเล่มแรกหมายถึง ธรรม คือธรรมมะ เทียนเล่มที่สองหมายถึงวินัยที่พึงปฎิบัติ รวมกันเป็นธรรมวินัย กล่าวคือมีธรรมก็ย่อมต้องมีวินัยเพราะวินัยสื่อถึงธรรมโดยเป็นเครื่องฝึกคนฝึกจิตใจ เพื่อนำคนให้ถึงธรรม “เทียนนั้นจุดแล้วให้ความสว่าง ก็เหมือนกับธรรม รวมทั้งวินัย ที่เป็นเหมือนดวงประทีปส่องสว่าง ทำให้คนมองเห็น คือทำให้เกิดปัญญา มีความรู้เข้าใจ”

ถัดมาเป็นลายบัวสวรรค์ 7 กลีบ
บัวสวรรค์หรือกัตาตาเวียเดิมเป็นชื่อของดอกไม้ในอเมริกาเขตร้อน ลำต้นสูง 4-8 เมตร ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่สีชมพู คล้ายดอกบัวหลวงแต่ใหญ่กว่า กลีบดอกค่อนข้างหนา ซ้อนกัน เมื่อบานจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 5-7 ซม. ภายในมีเกสรสีเหลืองและชมพูจำนวนมากงองุ้มเข้าหากัน ดั่งที่กล่าวไปข้างต้นในลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ว่าแต่เดิมนั้นเหล่าบรรดาช่างศิลป์ช่างผูกลายมักใช้รูปทรงของดอกบัวในการฝึกขึ้นลวดลาย ก่อนจะพัฒนาตัดทอนเป็นเส้นกระหนกลายเว้าโค้งต่างๆ บัวสวรรค์เองก็เช่นกัน ด้วยรูปลักษณ์ที่สมมาตรสวยงาม คติความเชื่อเกี่ยวกับศาสนา และชื่อพันธ์ไม้ที่เป็นสิริมงคล จึงไม่น่าแปลกนักที่ลายบัวสวรรค์จะได้รับความนิยมอย่างมากในการเขียนผูกลาย หรือถูกปรับนำไปใช้กับเครื่องเบญจรงค์

ดิมนั้นดอกบัวในงานช่างฝีมือหรืองานทางพุทธศิลป์ส่วนมากที่เราพบเห็นกันตามวัดวาอาราม ก็ล้วนแต่มีดอกบัวมาเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น ดอกบัวนั้นนอกจากรูปลักษณ์ที่สมมาตรสวยงามตามที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังเคลืบไปด้วยคติธรรมคติความเชื่อทางพุทธศาสนาอีกมากมาย อาทิเช่น เป็นภาพแทนของการประสูติของพระพุทธองค์ตามตำนานที่กล่าวถึง ดอกบัวทั้งเจ็ดที่รองพระบาทของพระพุทธองค์หลังประสูติ หรือหนึ่งในหลักคำสอนสำคัญของพุทธศาสนา เรื่องบัวสี่เหล่าอธิบายโดยง่ายคือ เมื่อแรกตรัสรู้ พระพุทธองค์ทรงพิจารณา พระธรรมที่ทรงบรรลุนั้นมีความละเอียดอ่อนสุขุมคัมภีรภาพ ยากต่อบุคคลจะรู้ เข้าใจและปฏิบัติได้ เพราะบุคคลนั้นมีหลายจำพวก บางพวกสอนได้ บางพวกสอนไม่ได้ เปรียบเสมือนบัวสี่เหล่า

ถัดมาตรงกลางด้านบนเป็นลายพิกุลทอง
มีลักษณะการวางโครงคล้ายกับจำพวกลายก้านต่อดอกหรือพุ่มข้าวบิณฑ์ คือวางดอกไม้ไว้จุดกึ่งกลางและจึงผูกลายต่อไปโดยรอบ แต่ตัดทอนให้เรียบง่ายกว่าคล้ายกับการตัดทอนของลายข้าวหลามตัด หรือลายหยดเทียน และใช้สีทองวาดดอกพิกุลตรงกึ่งกลาง บางสำนักสกุลช่างอาจมีการผูกลายเถาล้อมรอบควบคู่ไปด้วย สันนิษฐานว่า แต่ดั่งเดิมนั้นลายดอกพิกุลมีต้นกำเนิดมาจากลายทอผ้ายกลำพูนในอดีตโดยมีลักษณะแบบแผนการทอเป็นรูปทรงเรขาคณิต ประกอบด้วยทรงกลมตรงกลาง และสามเหลี่ยม ต่อมาได้มีการพัฒนาแตกออกเป็นลวดลายอื่นๆตามมา อาทิ พิกุลเครือ , พิกุลมีขอบ , พิกุลก้านแย่ง , พิกุลกลม พิกุลสมเด็จ เป็นต้น หรือในลายเครื่องถ้วยเบญจรงค์ก็มีประยุกต์ลายดอกพิกุลแตกออกมาอีกหลายแบบ อาทิเช่น ลายพิกุลแก้วที่ตัดทอนมาจากแบบดอกพิกุลดั้งเดิมในมีความโปร่งดูสบายตามากขึ้น ลงพื้นสีกรมท่า และใช้สีทองตัดเส้นดอก

ดอกพิกุล (ล้านนา) หรือที่ภาคกลางเรียกว่าดอกแก้วเป็นดอกไม้หน้าหนาว มีกลิ่นหอมเย็น ลักษณะเป็นดอกเล็กกลีบแหลม ละมีสีขาวล้านนามีการนำดอกไม้ชนิดนี้มาถวายบูชาพระทั้งแบบสดและแบบตากแห้ง มีการนำดอกไม้ชนิดนี้มาบดละใช้ทำเป็นผงธูป หรือใช้ดอกแห้งแช่น้ำกับฝักส้มป่อยเพื่อให้น้ำมีกลิ่นหอม เรียกว่า “มุรธาทิพย์” ใช้ในความเชื่อเรื่องเสกขจัดปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไปแถมยังใช้ในการขอขมาผู้หลักผู้ใหญ่ได้อีกด้วย

ในคติความเชื่อทั้งพราหมณ์และพุทธยังมีความเชื่อว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในสวนของพระอินทร์ ด้วยเหตุนี้คนไทยเองจึงมักจะนำดอกพิกุลมาใช้กระกอบราชพิธีมงคลต่างๆ ในราชสำนักไทย เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีโสกันต์ เป็นต้น ได้มีการทำดอกพิกุลเงิน พิกุลทอง จำลองมาโปรยในงานพระราชพิธีในสมัยัตนโกสินทร์ “ด้วยความเชื่อที่ว่าเจ้านายผู้เป็นองค์ประธานนั้นอยู่ในสภาวะสมมติเทพที่ได้อุบัติลงมาจากสวรรค์ การโปรยดอกพิกุลจึงเสมือนกับการที่องค์สมมติเทพทรงโปรยดอกไม้จากสวรรค์ลงมาให้มนุษย์ได้ชื่นชม”และได้ถือเป็นธรรมเนียมปฎิบัติสืบเนื่องกันมาช้านานสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อเชิงสัญลักษณ์เกี่ยวกับไม้ดอกมงคลที่มีต่อราชสำนักไทยมาแต่โบราณ

คนไทยสมัยก่อนมีก็ได้รับความเชื่อนี้สืบต่อกันมาว่าหากปลูกต้นพิกุลไว้ในบริเวณบ้านจะทำให้คนในบ้านที่พักอาศัยมีอายุมั่นขวัญยืนเนื่องจากต้นพิกุลเป็นไม้ยืนต้นแข็งแรงทนทานและมีอายุยืน ดังนั้นจึงมักนำมาใช้ประโยชน์ในงานพิธีมงคลขึ้นบ้าน อาทิ เสาบ้าน พวงมาลัยเรือ